ถาม : ถ้าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง ทำไมทั้งคนและสัตว์จึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ตอบ : อันนี้เราต้องเข้าใจในคติของพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนว่า ถ้าตราบใด ภพยังไม่ขาด ชาติยังไม่สิ้น กิเลสยังไม่หมด ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในคติ 2 คือสุคติกับทุคติ ไม่ได้กำหนดว่าต้องเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์ประเภทใดประเภทหนึ่ง แต่ถ้าหมดกิเลสจึงไม่เวียนว่าย อย่างพระพุทธเจ้า อย่างพระอรหันต์ เพราะไม่มีเหตุปัจจัยให้เวียนว่าย
ที่เราเกิดเพราะยังมีเหตุปัจจัย ยังมียาง ยังมีเชื้อ เหมือนพืชพันธุ์ธัญญาหารที่เชื้อยังไม่ตาย เหมือนเมล็ดข้าว ต้นกอมันตายกลายเป็นฟางแต่เมล็ดงอกใหม่ฉันใด ชีวิตจิตใจร่างกายของเรานี่ก็เหมือนกัน แก่งอม สุกงอม ก็ตาย แต่เมล็ดคือพืชอันเป็น กิเลสตัณหานั้น ย่อมนำจิตวิญญาณไปสู่คติ คือไปหาที่เกิด นี่เป็นคติในทางพระพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า อยู่ในนรกนั้นแน่นยิ่งกว่าอยู่ในโลกมนุษย์เรามาก เบียดเสียดกันจนกระทั่งไม่มีที่ว่าง เป็นเทวดาก็มีมากอยู่ แต่หล่นจากเทวดาโอกาสที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์หรือไปนรกนั้นท่านเปรียบเหมือนเขาวัวกับขนวัว ไปเกิดเป็นมนุษย์จำนวนเท่ากับเขาวัว แต่ไปตกนรกเท่ากับขนวัว นอกจากนรก แล้วก็ยังมี เปรต เดรัจฉาน อสุรกาย จนกระทั่งสิ้นกรรมแล้วจึงมาใหม่ แสดงว่าตอนนี้มันสิ้นกรรมกันมาก
พระพุทธเจ้าในพระชาติ เตมีย์ใบ้ ท่านปรารถนาบวช ไม่ปรารถนาครองราชย์ เพราะระลึกชาติได้ว่าเคยเป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่ ณ ตรงนั้น 20 ปี พอสิ้นพระชนม์แล้วไปตกนรกอยู่ 80,000 ปี จึงไม่อยากเป็นพระเจ้าแผ่นดินอีกต่อไป เลยทำเหมือนเป็นง่อยเปลี้ย เป็นใบ้ นั่นคือเห็นโทษจริงๆ
แต่พวกเราระลึกไม่ได้ ไม่รู้เลยว่าอดีตชาตินี่เราเป็นมาอย่างไร เรามาจากไหน จากสวรรค์ หรือนรกขุมไหน หรือเปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉานประเภทใด ถ้าเราระลึกได้เช่นนั้นบ้างคงไม่มีใครกล้าทำในสิ่งที่ไม่ดีศีล
สมาธิ ปัญญา เท่านั้นที่จะเป็นเกราะกำบัง เป็นกุญแจล็อกปิดประตูอบาย ถ้าก้าวเข้าสู่อริยมรรค อริยผล คือโสดาปฏิมรรค โสดาปฏิผล ท่านว่ามั่นใจได้ ปิดประตูอบายเลย แต่ถ้ายังก้าวเข้าไม่ถึงกระแสก็ยังเสี่ยงอยู่
พระครูวิเวกธรรมานุกูล
วัดป่ากาญจนาราม นครพนม
สาขาสำรวจที่ 15 วัดหนองป่าพง
จากหนังสือ "ตอบตามธรรม เล่ม 2"