ปฏิจจสมุปบาท
คำว่า ปฏิจจสมุปบาท นี้ แปลว่า สภาวะต่างๆ ล้วนอาศัยกันและกันเกิดขึ้น คือ ความที่ธรรมทั้งหลายนั้น อิงอาศัยกันและกัน มีเหตุปัจจัยพร้อมจึงเกิดขึ้น ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ได้เดี่ยวๆ ไม่ใช่
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาลอยๆ เป็นสิ่งที่อิงอาศัยกันจึงเกิดได้ จึงอยู่ได้ แล้วจึงดับได้ ล้วนต้องอิงอาศัยกันเกิด อิงอาศัยกันตั้งอยู่ และอิงอาศัยกันดับไป
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เพราะความเกิดขึ้นของสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี
เพราะความดับไปของสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป
ในหลักการของพระพุทธศาสนาแล้วเมื่อพูดถึงกระบวนการปฏิจจสมุปบาท จึงไม่เน้นให้เราพยายามทำากรรมนั่นกรรมนี่อะไร แต่เน้นให้เรามองเห็นว่า ที่เกิดๆ ตายๆ อยู่นี้ ไม่ใช่สัตว์บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ที่มั่นคงถาวร เที่ยงแท้ อยู่ยงคงกระพัน เป็นกระบวนการของทุกข์เท่านั้น ไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชาย ไม่ใช่คน ไม่ใช่สิ่งดีงามวิเศษอะไร เพื่อให้เบื่อหน่ายคลายกำหนัด ซึ่งมนุษย์ปุถุชนทั่วไปจะไม่ชอบฟัง เพราะว่าเขาชอบฟังแต่เรื่องดีๆ ชอบฟังแต่คำาอวยพร แม้แก่จะตายอยู่แล้ว ก็จะบอกว่า อวยพรหน่อยสิ ขอให้อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลาน ก็ว่ากันไป เขาชอบแบบนั้น ส่วนบอกว่า แหม...อยู่นาน เลยได้แก่ แก่แล้ว จะตายแล้ว เขาไม่ชอบ ไม่อยากฟัง
ในการปฏิบัติ ถ้าเราเข้าใจปฏิจจสมุปบาทแล้ว การปฏิบัติวิปัสสนาในชีวิตประจำวันธรรมดาๆ พระพุทธองค์ก็ทรงให้เราเน้นฝึกตรงที่ว่า ตามองเห็นแล้ว เกิดความรู้สึกแล้ว ให้มันหยุดอยู่เท่านั้น ถ้าหยุดอยู่เท่านั้นได้ หรือแม้มีตัณหาเกิดขึ้นแล้ว รู้เท่าทันตัณหา ตัณหาพวกนั้นมันก็จะไม่ก่อตัวเป็นอุปาทาน มันเกิดเมื่อมันมีเหตุ หมดเหตุมันก็จะดับ เป็นเรื่องธรรมดา ถ้ามีสติสัมปชัญญะ และมีปัญญาดี จะไม่ก่อตัณหา อุปาทาน ไม่ก่อภพก่อชาติขึ้นมาใหม่ ภพชาติในอนาคตที่จะมีจากกรรมปัจจุบันมันก็ไม่มี เพียงแต่ของเก่ายังไม่รื้อทิ้ง ของเก่า จะต้องอาศัยอริยมรรคเกิดขึ้น จึงจะทำลายอวิชชาได้ แต่ของใหม่นี้จะเริ่มไม่มีแล้ว ภพชาติ มันก็น้อยลงนั่นเอง
บางส่วนจากหนังสือ "ปฏิจจสมุปบาท (เล่มที่ ๑)"
โดยอาจารย์ สุภีร์ ทุมทอง
เรียบเรียงจากคำบรรยายในหัวข้อ “สาระธรรมจากพระสุตตันตปิฎก” ที่ชมรมคนรู้ใจ