ไม่สันโดษในกุศลธรรม มั่นเจริญในธรรม

 06-Jun10-65-BDS-07

 

ไม่สันโดษในกุศลธรรม มั่นเจริญในธรรม
 ฐิติสูตร ว่าด้วยความคงอยู่กับที่ในธรรม 
 
    {๕๓} [๕๓]    ภิกษุทั้งหลาย เราไม่สรรเสริญแม้แต่ความคงอยู่กับที่ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไฉนจะสรรเสริญความเสื่อมเล่า   ภิกษุทั้งหลาย แต่เราสรรเสริญความเจริญในกุศลธรรมทั้งหลาย  ไม่ใช่ความคงอยู่กับที่ ไม่ใช่ความเสื่อม 
 
            - ความเสื่อมในกุศลธรรมทั้งหลาย  ไม่ใช่ความคงอยู่กับที่  ไม่ใช่ความเจริญ เป็นอย่างไร 
            คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีศรัทธา  ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และปฏิภาณอยู่เท่าไร  ธรรมเหล่านั้นของภิกษุนั้น ไม่คงอยู่กับที่ ไม่เจริญ เรากล่าวข้อนี้ว่าเป็นความเสื่อมในกุศลธรรมทั้งหลาย  ไม่ใช่ความคงอยู่กับที่  ไม่ใช่ความเจริญ  ความเสื่อมในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ใช่ความคงอยู่กับที่  ไม่ใช่ความเจริญ เป็นอย่างนี้แล 
 
          - ความคงอยู่กับที่ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ใช่ความเสื่อมไม่ใช่ความเจริญ เป็นอย่างไร 
            คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีศรัทธา  ศีล  สุตะ จาคะ ปัญญา และปฏิภาณอยู่เท่าไร  ธรรมเหล่านั้นของภิกษุนั้น ไม่เสื่อม ไม่เจริญ เรากล่าวข้อนี้ว่าเป็นความคงอยู่กับที่ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ใช่ความเสื่อมไม่ใช่ความเจริญ ความคงอยู่กับที่ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ใช่ความเสื่อม ไม่ใช่ความเจริญเป็นอย่างนี้แล 
 
          -  ความเจริญในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ใช่ความคงอยู่กับที่ ไม่ใช่ความเสื่อมเป็นอย่างไร 
            คือ  ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และปฏิภาณอยู่เท่าไร ธรรมเหล่านั้นของภิกษุนั้นไม่คงอยู่กับที่ ไม่เสื่อม เรากล่าวข้อนี้ว่าเป็นความ เจริญในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ใช่ความคงอยู่กับที่ ไม่ใช่ความเสื่อม  ความเจริญในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ใช่ความคงอยู่กับที่  ไม่ใช่ความเสื่อม  เป็นอย่างนี้แล 
 
            - หากภิกษุเป็นผู้ไม่ฉลาดในวาระจิตของผู้อื่น เมื่อเป็นเช่นนั้น ภิกษุพึงสำเหนียกว่า  ‘เราจักเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตน’ ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้แล 
 
            ภิกษุเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตน เป็นอย่างไร 
            คือ  ภิกษุมีการพิจารณาที่เป็นอุปการะมากในกุศลธรรมทั้งหลายว่า    ‘เราเป็นผู้มีอภิชฌาอยู่โดยมากหรือหนอ    หรือไม่มีอภิชฌา  เราเป็นผู้มีจิตพยาบาทอยู่โดยมากหรือหนอ  หรือมีจิตไม่พยาบาท   เราเป็นผู้มีถีนมิทธะกลุ้มรุมอยู่โดยมากหรือหนอ หรือปราศจากถีนมิทธะ  เราเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่านอยู่โดยมากหรือหนอ    หรือไม่มีจิตฟุ้งซ่าน  เราเป็นผู้มีความสงสัยอยู่โดยมากหรือหนอ    หรือข้ามพ้นความสงสัยแล้ว เราเป็นผู้มักโกรธอยู่โดยมากหรือหนอ   หรือไม่มักโกรธ  เราเป็นผู้มีจิตเศร้าหมองหรือหนอ    หรือมีจิตไม่เศร้าหมอง    เราเป็นผู้มีกายกระสับกระส่ายอยู่โดยมากหรือหนอ หรือมีกายไม่กระสับกระส่าย เราเป็นผู้เกียจคร้านอยู่โดยมากหรือหนอ หรือปรารภความเพียร    เราเป็นผู้มีจิตตั้งมั่นอยู่โดยมากหรือหนอ  หรือมีจิตไม่ตั้งมั่น’   เปรียบ เหมือนสตรีหรือบุรุษที่ยังหนุ่มสาว  มีปกติชอบแต่งตัว  ส่องดูเงาหน้าของตนในกระจกเงาอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง หรือในภาชนะน้ำที่ใส  ถ้าเห็นธุลีหรือจุดดำที่หน้านั้น    ก็พยายามขจัดธุลีหรือจุดดำนั้นเสีย  หากไม่เห็นธุลีหรือจุดดำที่หน้านั้น  ก็ดีใจ ภูมิใจ ด้วยเหตุนั้นเองว่า    ‘เป็นลาภของเราหนอ  หน้าของเราบริสุทธิ์แล้วหนอ’ 
 
            ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่    รู้อย่างนี้ว่า    ‘เราเป็นผู้มีอภิชฌาอยู่โดยมาก    เป็นผู้มีจิตพยาบาทอยู่โดยมาก  เป็นผู้มีถีนมิทธะกลุ้มรุมอยู่โดยมาก เป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่านอยู่โดยมาก  เป็นผู้มีความสงสัยอยู่โดยมาก เป็นผู้มักโกรธอยู่โดยมาก เป็นผู้มีจิตเศร้าหมอง 
อยู่โดยมาก  เป็นผู้มีกายกระสับกระส่ายอยู่โดยมาก เป็นผู้เกียจคร้านอยู่โดยมาก เป็นผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นอยู่โดยมาก’    ภิกษุนั้นควรทำความพอใจ   ความพยายาม   ความอุตสาหะ  ความขะมักเขม้น  ความไม่ท้อถอย  สติและสัมปชัญญะให้มีประมาณยิ่ง เพื่อละบาปอกุศลธรรมเหล่านั้น 
 
            ภิกษุนั้นควรทำความพอใจ  ความพยายาม ความอุตสาหะ  ความขะมักเขม้น ความไม่ท้อถอย  สติและสัมปชัญญะให้มีประมาณยิ่งเพื่อละบาปอกุศลธรรมเหล่านั้น เปรียบเหมือนบุคคลผู้มีผ้าที่ถูกไฟไหม้ หรือมีศีรษะที่ถูกไฟไหม้  ทำความพอใจ 
ความพยายาม ความอุตสาหะ  ความขะมักเขม้น  ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะให้มีประมาณยิ่งเพื่อดับไฟที่ไหม้ผ้าหรือไฟที่ไหม้ศีรษะนั้น 
 
            ภิกษุทั้งหลาย    ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่    รู้อย่างนี้ว่า    ‘เราเป็นผู้ไม่มีอภิชฌาอยู่โดยมากเป็นผู้มีจิตไม่พยาบาทอยู่โดยมาก    เป็นผู้ปราศจากถีนมิทธะอยู่โดยมาก เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่านอยู่โดยมาก เป็นผู้ข้ามพ้นความสงสัยแล้วอยู่โดยมาก เป็นผู้ไม่มักโกรธอยู่ 
โดยมาก เป็นผู้มีจิตไม่เศร้าหมองอยู่โดยมาก เป็นผู้มีกายไม่กระสับกระส่ายอยู่โดยมาก  เป็นผู้ปรารภความเพียรอยู่โดยมาก    เป็นผู้มีจิตตั้งมั่นอยู่โดยมาก’    ภิกษุนั้นควรตั้งมั่นอยู่ในกุศลธรรมเหล่านั้นแล้วทำความเพียรเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย 
ให้ยิ่งขึ้นไป 
                  ฐิติสูตรที่ ๓ จบ 
 
             #องฺคุต.ทสก.๒๔ /๑๑๓/๕๓
 
ธรรมะจากพระโอษฐ์
(รวบรวมโดย พระอาจารย์พงษ์พันธ์ ฉนฺทกโร 
ที่พำนักสงฆ์สวนโพธิญาณ จ.กาญจนบุรี)

 

เกี่ยวกับเรา

Maya-Logo3

มูลนิธิมายา โคตมี เป็นองค์กรการกุศลที่ไม่หวังผลกำไร เพื่อสนับสนุนเยาวชนในด้านการศึกษาและสร้างเสริมจริยธรรม และเพื่อการพัฒนาตนตามหลักพระพุทธศาสนา

Contact Us/ติดต่อเรา

มูลนิธิมายา โคตมี

3 ซอยกรุงเทพกรีฑา 20 แยก 7
แขวงทับช้าง เขตสะพานสูง กรุงเทพฯ   10250

โทร. 02-368-3991, 06-1662-9077

E-mail: [email protected]

facebook : MayaGotami Foundation

www.mayagotami.net

line id : @mayagotami

 

แผนที่มูลนิธิ