ยึดกาย ยังดีกว่ายึดจิต เพราะอะไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ปุถุชนผู้มิได้สดับจะพึงเบื่อหน่ายบ้าง, คลายกำหนัดบ้าง, หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้
#ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
'เพราะเหตุว่า' .. ความเจริญก็ดี, ความเสื่อมก็ดี, การเกิดก็ดี, การตายก็ดีของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ย่อมปรากฏ
'ปุถุชนผู้มิได้สดับ' .. จึงเบื่อหน่ายบ้าง, คลายกำหนัดบ้าง, หลุดพ้นบ้างในร่างกายนั้น
#แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุม
แห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า ..
-จิตบ้าง
-มโนบ้าง
-วิญญาณบ้าง
#ปุถุชนผู้มิได้สดับ ..
-ไม่อาจเบื่อหน่าย
-คลายกำหนัด
-หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นได้เลย
ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
#เพราะว่าจิตเป็นต้นนี้ .. อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า ..
-นั่นของเรา, นั่นเป็นเรา, นั่นเป็นตัวตนของเรา
ดังนี้ตลอดกาลช้านาน
#ฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ .. จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย, คลายกำหนัด, หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นได้เลย ฯ
[๒๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอาร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต ๔ นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า #แต่จะเข้าไปยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่
ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
#เพราะร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ เมื่อดำรงอยู่ ปีหนึ่งบ้าง, สองปีบ้าง, สามปีบ้าง, สี่ปีบ้าง, ห้าปีบ้าง, สิบปีบ้าง, ยี่สิบปีบ้าง, สามสิบปีบ้าง, สี่สิบปีบ้าง, ห้าสิบปีบ้าง, ร้อยปีบ้าง, ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง ย่อมปรากฏ
แต่ว่าตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุม
แห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า ..
-จิตบ้าง
-มโนบ้าง
-วิญญาณบ้าง
"จิตเป็นต้นนั้นดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน"
[๒๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
-วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่จับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป
แม้ฉันใด .. ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า ..จิตบ้าง, มโนบ้าง, วิญญาณบ้าง, จิตเป็นต้นนั้น
-ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ก็ฉันนั้นแล ฯ
[๒๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกผู้สดับ ย่อมใส่ใจโดยแยบคายด้วยดีถึงปฏิจจสมุปบาทธรรม ในร่างกายและจิตที่ตถาคตกล่าวมานั้นว่า .. เพราะเหตุดังนี้
#เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
#เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
#เมื่อสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้จึงไม่มี
#เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ คือ
-เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
-เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
-เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
-เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
-เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
-เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
-เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
-เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน
-เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
-เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
-เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ
โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์
ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
อนึ่ง #เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือสังขารจึงดับ
#เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ ฯลฯ
#ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
[๒๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกผู้ได้สดับมาพิจารณาอยู่อย่างนี้ ..
-ย่อมหน่ายแม้ในรูป
-ย่อมหน่ายแม้ในเวทนา
-ย่อมหน่ายแม้ในสัญญา
-ย่อมหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลาย
-ย่อมหน่ายแม้ในวิญญาณ
#เมื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด
-เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น
-เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว
-ย่อมทราบชัดว่าชาติสิ้นแล้ว
-พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
-กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว
-กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้แล ฯ
____________________________
(อัสสุตวตาสูตร)
สัํ. นิ. 16/232/93
ธรรมะจากพระโอษฐ์
(รวบรวมโดย พระอาจารย์พงษ์พันธ์ ฉนฺทกโร ที่พำนักสงฆ์สวนโพธิญาณ จ.กาญจนบุรี)