ปาฏิหาริย์สาม
เกวัฏฏะ ! อยู่ ที่เราได้ทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้ว #ปาฏิหาริย์สาม
เกวัฏฏะ ! นี่ปาฏิหาริย์สามอย่าง ที่เราได้ทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ได้.
๓ อย่างอะไรเล่า ?
๓ อย่าง คือ ..
(๑) อิทธิปาฏิหาริย์
(๒) อาเทสนาปาฏิหาริย์
(๓) อนุศาสนีปาฏิหาริย์
___________
(๑) เกวัฏฏะ ! #อิทธิปาฏิหาริย์นั้นเป็นอย่างไรเล่า ?
เกวัฏฏะ ! ภิกษุในกรณีนี้ ..
กระทำอิทธิวิธีมีประการต่าง ๆ
-ผู้เดียวแปลงรูปเป็นหลายคน,
-หลายคนเป็นคนเดียว,
-ทำที่กำบังให้เป็นที่แจ้ง, ทำที่แจ้งให้เป็นที่กำบัง,
-ไปได้ไม่ขัดข้องผ่านทะลุฝา, ทะลุกำแพง, ทะลุภูเขาดุจไปในอากาศว่าง ๆ,
-ผุดขึ้นและดำรงอยู่ในแผ่นดินได้เหมือนในน้ำ,
-เดินไปได้เหนือน้ำ เหมือนเดินบนแผ่นดิน,
-ไปได้ในอากาศเหมือนนกมีปีก ทั้งที่ยังนั่งสมาธิคู้บัลลังก์.
-ลูบคลำดวงจันทร์และดวงอาทิตย์อันมีฤทธิ์อานุภาพมากได้ด้วยฝ่ามือ.
-และแสดงอำนาจทางกายเป็นไปตลอดถึงพรหมโลกได้.
เกวัฏฏะ ! กุลบุตรผู้มีศรัทธาเลื่อมใส
ได้เห็นการแสดงนั้นแล้ว
-เขาบอกเล่าแก่กุลบุตรอื่นบางคน
ที่ไม่ศรัทธาเลื่อมใสว่า .. น่าอัศจรรย์นัก.
-กุลบุตรผู้ไม่มีศรัทธาเลื่อมใสนั้น
ก็จะพึงตอบว่า .. วิชา ชื่อ คันธารี มีอยู่
ภิกษุนั้นแสดงอิทธิวิธีด้วยวิชานั่นเท่านั้น.
เกวัฏฏะ ! ท่านจะเข้าใจว่าอย่างไร ?
ก็คนไม่เชื่อ, ไม่เลื่อมใสย่อมกล่าวตอบผู้เชื่อผู้เลื่อมใสได้อย่างนั้น มิใช่หรือ ?
-พึงตอบได้ พระเจ้าข้า !
เกวัฏฏะ! "เราเห็นโทษในการแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ดังนี้แล" จึงอึดอัด ขยะแขยงเกลียดชัง #ต่ออิทธิปาฏิหาริย์.
___________________________
(๒) เกวัฏฏะ ! #อาเทสนาปาฏิหาริย์นั้นเป็นอย่างไรเล่า ?
เกวัฏฏะ ! ภิกษุในกรณีนี้ ..
-ย่อมทายจิต
-ทายความรู้สึกของจิต
-ทายความตรึก
-ทายความตรองของสัตว์เหล่าอื่น
ของบุคคลเหล่าอื่นได้ ว่า ..ใจของท่านเช่นนี้, ใจของท่านมีประการนี้, ใจของท่านมีด้วยอาการอย่างนี้. ฯลฯ
-กุลบุตรผู้ไม่เชื่อ ไม่เลื่อมใส
ย่อมค้านกุลบุตรผู้เชื่อผู้เลื่อมใสว่า ..
วิชา ชื่อ มณิกา มีอยู่
#ภิกษุนั้น กล่าวทายใจได้เช่นนั้น ๆ
ก็ด้วยวิชานั้น (หาใช่มีปาฏิหาริย์ไม่),
เกวัฎฎะ ! ท่านจะเข้าใจว่าอย่างไร ?
ก็คนไม่เชื่อ ไม่เลื่อมใส ย่อมกล่าวตอบผู้เชื่อผู้เลื่อมใสได้อย่างนั้น มิใช่หรือ?
-พึงตอบได้ พระเจ้าข้า !
เกวัฏฏะ !เราเห็นโทษในการแสดง อาเทสนาปาฏิหาริย์ดังนี้แล จึงอึดอัด ขยะแขยง เกลียดชังต่อ #อาเทสนาปาฏิหาริย์.
____________________________
(๓) เกวัฏฏะ! #อนุศาสนีปาฏิหาริย์นั้นเป็นอย่างไรเล่า?
เกวัฏฏะ ! ภิกษุในกรณีนี้ ..
-ย่อมสั่งสอนว่า ..ท่านจงตรึกอย่างนี้ ๆ อย่าตรึกอย่างนั้น ๆ,
-จงทำไว้ในใจอย่างนี้ๆอย่าทำไว้ในใจอย่างนั้น ๆ,
-จงละสิ่งนี้, จงเข้าถึงสิ่งนี้ ๆ แล้วแลอยู่ ดังนี้.
เกวัฏฏะ ! นี้เราเรียกว่า #อนุศาสนีปาฏิหาริย์
.....................
เกวัฏฏะ ! #ข้ออื่นยังมีอีก :
-ตถาคตเกิดขึ้นในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ชอบเอง, สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะดำเนินไปดี, รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกคนควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า, เป็นครูของเทวดาและมนุษย์, เป็นผู้เบิกบานแล้วจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์.
-ตถาคตนั้นทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้ กับทั้งเทวดา, มาร, พรหม, หมู่สัตว์, พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดา, พร้อมทั้งมนุษย์ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งตาม.
-ตถาคตนั้นแสดงธรรมไพเราะในเบื้องต้น, ท่ามกลาง, ที่สุด, ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถะและพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง.
-คหบดีหรือบุตรคหบดี หรือผู้เกิดในตระกูลใดตระกูลหนึ่งในภายหลังก็ดีได้ฟังธรรมนั้นแล้ว
เกิดศรัทธาในตถาคต.
-เขาผู้ประกอบด้วยศรัทธาย่อมพิจารณาเห็นว่า .. “ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี,
บรรพชาเป็นโอกาสว่าง; การที่คนอยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์โดยส่วนเดียวเหมือนสังข์ที่เขาขัดแล้วนั้น ไม่ทำได้โดยง่าย.
ถ้ากระไร เราจะปลงผมและหนวด ครองผ้ากาสายะ ออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนเถิด, ดังนี้.
-โดยสมัยอื่นต่อมา ..เขาละกองสมบัติน้อยใหญ่และวงศ์ญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวดออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว.
-ภิกษุนั้นผู้บวชแล้วอย่างนี้ ..สำรวมแล้วด้วยความสำรวมในปาติโมกข์, ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร, มีปกติเห็นเป็นภัยในโทษทั้งหลาย แม้ว่าเป็นโทษเล็กน้อย, สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย, ประกอบแล้วด้วยกายกรรมวจีกรรมอันเป็นกุศล, มีอาชีวะบริสุทธิ์, ถึงพร้อมด้วยศีล, มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย, ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ, มีความสันโดษ.
............................
เกวัฏฏะ ! #ภิกษุถึงพร้อมด้วยศีลเป็นอย่างไรเล่า ?
เกวัฏฏะ ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ..
-ละการทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป, เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต, วางท่อนไม้และศัสตราเสียแล้ว, มีความละอาย, ถึงความเอ็นดูกรุณา
หวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงอยู่.
เกวัฏฏะ ! นี้เราเรียกว่า ..#อนุศาสนีปาฏิหาริย์
.........................
เกวัฏฏะ ! ภิกษุนั้น ครั้นจิตตั้งมั่นบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่มีกิเลสปราศจากอุปกิเลส เป็นธรรมชาติอ่อนโยนควรแก่การงาน ตั้งอยู่ได้อย่างไม่หวั่นไหว เช่นนี้แล้ว,
เธอก็น้อมจิตไปเฉพาะต่ออาสวักขยญาณ.
เธอย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริงว่า ..
-นี้ทุกข์,
-นี้เหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์,
-นี้ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์,
-นี้ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์;
#และรู้ชัดตามที่เป็นจริงว่า ..
-เหล่านี้อาสวะ,
-นี้เหตุเกิดขึ้นแห่งอาสวะ,
-นี้ความดับไม่เหลือแห่งอาสวะ,
-นี้ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งอาสวะ.
#เมื่อเธอรู้อยู่อย่างนี้เห็นอยู่อย่างนี้ ..
จิตก็พ้นจาก = กามาสวะ,ภวาสวะ,อวิชชาสวะ.
-ครั้นจิตหลุดพ้นแล้ว
ก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่า .. จิตพ้นแล้ว
-เธอรู้ชัดว่า .. ชาติสิ้นแล้ว, พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว, กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว, กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มีอีก ดังนี้.
-เกวัฏฏะ ! เปรียบเหมือนห้วงน้ำใสที่ไหล่เขาไม่ขุ่นมัว, คนมีจักษุดียืนอยู่บนฝั่งในที่นั้น,
เขาเห็นหอยต่าง ๆ บ้าง, กรวดและหินบ้าง,
ฝูงปลาบ้าง อันหยุดอยู่และว่ายไปในห้วงน้ำนั้น,
-เขาจะสำเหนียกใจอย่างนี้ว่า ..
“ห้วงน้ำนี้ใส ไม่ขุ่นเลย
หอย ก้อนกรวด ปลา ทั้งหลายเหล่านี้
หยุดอยู่บ้าง, ว่ายไปบ้าง, ในห้วงน้ำนั้น” ดังนี้;
ฉันใดก็ฉันนั้น!
เกวัฏฏะ ! นี้เราเรียกว่า ..#อนุศาสนีปาฏิหาริย์
เกวัฏฏะ ! เหล่านี้แล ปาฏิหาริย์ ๓ อย่าง
ที่เราได้ทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ตามด้วย.
_____________________
สี. ที. ๙/๒๗๓ – ๒๗๖/ ๓๓๙ – ๒๔๒
ธรรมะจากพระโอษฐ์
(รวบรวมโดย พระอาจารย์พงษ์พันธ์ ฉนฺทกโร ที่พำนักสงฆ์สวนโพธิญาณ จ.กาญจนบุรี)