ว่าด้วยธรรม ๔ ประการ ของคนพาลและบัณฑิต
[๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ เป็นคนพาล เป็นคนโง่เขลา เป็นอสัตบุรุษ ครองตนอันถูกขุด (รากคือความดี) เสียแล้ว ถูกขจัดไปครึ่งหนึ่งแล้ว เป็นคนประกอบด้วยโทษ ผู้รู้ติเตียน และได้สิ่งอันไม่เป็นบุญมากด้วยธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ บุคคลไม่ใคร่ครวญไม่สอบสวนแล้ว ชมคนที่ควรติ ๑ ติคนที่ควรชม ๑ ปลูกความเลื่อมใสในฐานะอันไม่ควรเลื่อมใส ๑ แสดงความไม่เลื่อมใสในฐานะอันควรเลื่อมใส ๑ บุคคลประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล เป็นคนพาล ฯลฯ และได้สิ่งอันไม่เป็นบุญมากด้วย
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ เป็นบัณฑิตเป็นคนฉลาด เป็นสัตบุรุษ ครองตนอันไม่ถูกขุด ไม่ถูกขจัดไปครึ่งหนึ่ง เป็นผู้หาโทษมิได้ ผู้รู้สรรเสริญ และได้บุญมากด้วย ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือบุคคลใคร่ครวญสอบสวนแล้ว ติคนที่ควรติ ชมคนที่ควรชม ๑ แสดงความไม่เลื่อมใสในฐานะอันไม่ควรเลื่อมใส ๑ ปลูกความเลื่อมใสในฐานะอันควรเลื่อมใส ๑ บุคคลประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล เป็นบัณฑิตฯลฯ และได้บุญมากด้วย
(นิคมคาถา)
ผู้ใดชมคนที่ควรติ หรือ ติคนที่ควรชม ผู้นั้น ชื่อว่าก่อ (กลี) ความร้ายด้วยปาก เพราะความร้ายนั้นเขาก็ไม่ได้ความสุข นี่ ร้ายไม่มาก คือการเสียทรัพย์ ในการพนัน แม้จนสิ้นเนื้อประดาตัว
สิ่งนี้สิ ร้ายมากกว่า คือทำใจร้าย ในท่านผู้ดำเนินดีแล้วทั้งหลาย คนที่ตั้งใจและใช้ วาจาลามก ติเตียนท่านผู้เป็นอริยะ ย่อมตกนรกตลอดเวลา สิ้นแสนสามสิบหก นิรัพพุทะ กับอีกห้าอัพพุทะ
จบปฐมขตสูตรที่ ๓
#องฺ. จตุกฺก. ๓๕/๓๖
ธรรมะจากพระโอษฐ์
(รวบรวมโดย พระอาจารย์พงษ์พันธ์ ฉนฺทกโร
ที่พำนักสงฆ์สวนโพธิญาณ จ.กาญจนบุรี)