ถาม : ตอนมาเป็นประธานปีแรก เห็นสภาพมูลนิธิเป็นอย่างไรคะ
ตอบ : มูลนิธิฯ ตอนนั้นมีอาคารของตนเองแล้วที่กรุงเทพกรีฑา งานหลักๆ ของเราก็ยังเป็นการให้ทุนการศึกษาอยู่ แต่ได้เริ่มจัดคอร์สปฏิบัติธรรมด้วย โดยท่านอาจารย์ ได้มอบหมายคณะศิษย์หลายๆ กลุ่มเป็นผู้รับผิดชอบ การอบรมแต่ละประเภท
ในแง่ของครูบาอาจารย์ ในยุคแรก ๆเป็นคณะสงฆ์จากวัดสุนันทวราราม และ พระอาจารย์ มิตซูโอะท่านจะมาสอนด้วย เพราะฉะนั้นสมัยนั้น ก็ไม่มีอะไร ที่เป็นภาระหนักเลย สำหรับการจัดอบรม แล้วก็การตอบสนอง จากลูกศิษย์ลูกหาก็มีมาก
ในช่วงเวลาที่เข้ารับตำแหน่ง บังเอิญประเทศไทยประสพปัญหาน้ำท่วม ทางมูลนิธิฯ โดยท่านอาจารย์ ได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือผู้ประสพภัย อย่างเต็มตัว ทำให้มีจิตอาสา มาช่วยท่าน แต่ละวันเป็นจำนวนมาก แล้วยังมีอาหารแห้งที่คนบริจาคมาอีกเต็มอาคาร และยังมีเหตุการณ์สึนามิ ที่ญี่ปุ่นเกิดขึ้นอีก แถมยังมีคนมาปฏิบัติธรรมอีก ช่วงนั้นบรรยากาสที่มูลนิธิฯ จึงครึกครื้นและมีชีวิติชีวามาก
จากที่มาเป็นประธานมูลนิธิมา 4 ปี การเปลี่ยนแปลง นี่ ถ้าจะพูดถึงว่า ในด้านการทำงาน แต่ก่อนนี้ก็ไม่ได้เข้ามา involve มากนัก เพราะว่างาน มันเดินของมันอยู่แล้ว จบเหตุการณ์ภัยธรรมชาติ ก็มีงานโครงการเพิ่มพลังการศึกษา ด้วยหนังสือธรรมะ ของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก เป็นกิจกรรมขนาดใหญ่ ต้องอาศัยทุนและแรงงานเยอะ แต่ที่เป็นไปได้ก็เพราะบารมีของพระอาจารย์ ทำให้มีคนมาช่วยงานเป็นทีมเวิรก และร่วมบริจาคเยอะมาก เราเลยไม่ต้อง เข้าไปยุ่งมากนัก
พอถึงเมื่อหนึ่งปีที่แล้วเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทำให้รู้สึกว่า เราต้องเข้ามา involve มากขึ้น ทางมูลนิธิเองก็ต้องทำงานของมูลนิธิมากขึ้น เมื่อก่อนมีคนมาช่วย จิตอาสามาช่วยทำโน่นทำนี่ อย่างการอบรม ก็มีจิตอาสามาช่วยดูแล แต่หลังจากท่านอาจารย์ลาสิกขา คนที่มาช่วย เขาก็ไปทำที่อื่นหรือเลิกไปเลย
ทางมูลนิธิรับงานมามากขึ้น ในช่วงแรกๆ ก็พูดตรงๆ ยอมรับว่า มูลนิธิฯเองก็ตัดสินใจไม่ค่อยถูกว่าเราจะเดินไปทางไหนดี ในเรื่องของ การปฏิบัติธรรม ตอนนั้นก็ไปนิมนต์ครูบาอาจารย์จากที่อื่น หลายๆ องค์ มาเพื่อสอนองค์ละชั่วโมงหนึ่ง เป็นเหมือนมาตราการชั่วคราว
จากนั้นก็ไปปรึกษากับครูบาอาจารย์วัดสุนันทวราราม แล้วไปกราบพระราชภาวนาวิกรม (หลวงพ่อเลี่ยม) เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง ขอความเมตตาจากท่าน ตลอดจนครูบาอาจารย์สายวัดหนองป่าพงอื่นๆ แล้วทุกอย่างก็ดำเนินมาตามแบบทุกวันนี้ คือ นิมนต์ครูบาอาจารย์จากสาย วัดหนองป่าพง มาเป็นประธานสงฆ์ ดำเนินการอบรม โดยคณะสงฆ์จากวัด สุนันทวนารามท่านก็เมตตามาช่วย เพราะเรารู้สึกว่าเรามาถูกทางแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่นิมนต์ครูบาอาจารย์จากสายอื่นนะ เพราะว่าเรามีครูบาอาจารย์ที่ดีๆ อยู่แยะมาก แล้วเราก็อยากจะมีโอกาส ได้นิมนต์ท่านมาสอนด้วย
ถาม : ท่านประธานมองว่าในอนาคตอันใกล้ งานด้านปฏิบัติธรรม ของมูลนิธิจะไปทางไหนคะ
ตอบ : คิดว่าในแง่ของคอร์สอบรมคนทั่วไปและในแง่ของผู้สูงวัย เราคงจะดำเนินไปตามทางนี้แหละ ไม่เปลี่ยนแปลง ยังนึกไม่ออก เหมือนกันว่าจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ส่วนเรื่องคอร์สของเด็ก ซึ่งเราได้รับ ความร่วมมือจากโรงเรียนสยามสามไตรและวัดสุนันทฯ ก็ต้องดูกันต่อไป แต่ดิฉันคิดว่า เป็นคอร์สที่ให้ประโยชน์มาก จริงๆ แล้ว ดิฉันยังอยากเน้น เรื่องการอบรมเด็กโตให้มากขึ้น คือไม่ใช่จัดเฉพาะสำหรับนักเรียนทุนของเรา อยากให้มีการอบรมเยาวชนเป็นเรื่องเป็นราว อย่างที่เราเคยจัดมาหนหนึ่ง 3 วัน จัดให้กับโรงเรียนดรุณสิกขาลัย รู้สึกว่าดีมาก เพราะนักเรียนได้รับฟัง คำสอนและฝึกปฏิบัติจากทั้งคณะสงฆ์และฆราวาสที่มีความรู้ สามารถผ่องถ่ายให้กับเด็กๆได้เป็นอย่างดี
ที่เป็นไปได้อย่างมากคือให้ทางโรงเรียนติดต่อมา ให้เราจัดอบรมให้ เฉพาะกลุ่มเด็กของโรงเรียนนั้น เพราะเรามีเค้าโครงของหลักสูตรอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งของหลักสูตรเป็นการอบรมโดยพระสงฆ์ อีกส่วนหนึ่งอบรมโดย ฆราวาส ที่สามารถให้คำแนะนำเด็กๆ ได้ในเรื่องของการดำเนินชีวิตต่อไป
อีกโครงการที่อยากทำคือเรื่องของการพัฒนาครู ที่ผ่านมาทางมูลนิธิฯ ก็พยายามทำ โดยร่วมมือกับโรงเรียนสยามสามไตร แต่ก็ยังไม่ประสพ ผลสำเร็จ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะตามแผนนั้น ต้องจัดต่อเนื่องกัน 6 ครั้ง ๆ ละประมาณ 2 วัน ซึ่งครูไม่สามารถจะมาได้ 6 อาทิตย์ติดกัน ดังนั้น เราก็จะต้องหาหลักสูตรที่จบในตัวเอง ภายในครั้งเดียว จะเป็น 3 วัน 5 วัน ก็แล้วแต่ ต้องทำให้ครั้งเดียวจบ น่าจะเป็นประโยชน์ เป็นไปได้มากกว่า เพราะสมัยนี้เอาเวลามาติดต่อกัน 6 อาทิตย์นั้นยาก ตอนนี้โครงการคุรุภาวนา นี้หยุดไป น่าเสียดายมาก ถ้าเป็นไปได้อยากจะทำต่อ
ถาม : ในแง่ของความเป็นมูลนิธิมายาโคตมี น่าจะยังเป็นองค์กร ตั้งอยู่ยาวในอนาคต ใช่ไหมคะ
ตอบ : ทุกอย่างมันก็ไม่เที่ยงนะคะ แต่สำหรับมูลนิธิ ฯ นับว่าเป็นองค์กร ที่เข้มแข็งพอสมควร ในแง่ของการเงิน ในแง่ของสถานที่ ที่อาจจะต้องเพิ่ม คือในแง่ของบุคคลากรที่เรายังมีไม่พอ สำหรับงานที่จะเกิดขึ้น เพราะงานที่เรา ควรจะต้องทำ ต้องเป็นงานเชิงรุก ไม่ใช่นั่งรอให้คนเข้ามาหา เดี๋ยวนี้ต้องเป็นอย่างนั้นหมด มันต้องมีการตลาด พูดง่ายๆ พูดถึงว่าธรรมะเป็นสินค้า ถึงสินค้าจะดี แต่ถ้าไปไม่ถึงตลาด เราจึงต้องสร้าง เหตุให้เกิดขึ้น
สุกัญญา หิรัญพฤกษ์